เย้ๆๆ ไทยแลนด์
วันนี้แอดต้องขอเริ่มต้นด้วยความดีใจ และต้องขอแสดงความยินดีกับน้องเทนนิส ที่คว้าเหรียญทองแรกให้กับไทยในการแข่งขันโอลิมปิกที่ประเทศญี่ปุ่นมาได้ ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจให้คนไทยเลย
ถ้าพูดถึงการได้เหรียญในการแข่งขันโอลิมปิก กว่าจะได้เหรียญมา กว่านักกีฬาจะไปถึงจุดนั้นพวกเขาผ่านการฝึกฝน ผ่านอะไรมากมายจริงๆ การได้เหรียญมาเป็นรางวัลถือว่าเหมาะสมกับความเหนื่อย ความทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจจริงๆ โดยเฉพาะเหรียญทอง เพราะมันถือว่าเราคือที่สุดในโลกแล้ว แต่ๆนอกจากจะได้เหรียญกลับมาฝากคนไทยแล้ว พอถึงไทยพวกนักกีฬาเหล่านี้จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินอัดฉีดด้วยจ้า
แล้วพวกเธออยากรู้ไหมว่าเงินอัดฉีดที่นักกีฬาได้ หลังจากไปคว้าเหรียญทองกลับมาให้คนไทย แล้วพวกเขาเหล่านี้จะได้เท่าไหร่กันนะ
** ที่แอดหามาคือเงินที่ต้องได้จากสมาคมนะ แบบที่ยังไม่รวมจากสปอนเซอร์ จากเอกชนต่างๆอีก **
อย่างแรกแอดขอพาพวกเธอไปทำความรู้จักกับ ” เงินอัดฉีด ” กันก่อนเลย
เงินอัดฉีด คือ เงินรางวัลให้กับนักกีฬา, บุคลากร และสมาคมกีฬา โดยมีเงื่อนไขการจ่ายเงินตอบแทน แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่
แบบที่ 1 จ่ายเงินก้อนอัตรา 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 50 เปอร์เซ็นต์ แบ่งจ่ายเป็นรายเดือนในระยะเวลา 4 ปี เพื่อช่วยให้นักกีฬาสามารถจัดสรรรายได้ในระยะยาว
ส่วนแบบที่ 2 แบ่งจ่ายเงินก้อนทั้งหมดในครั้งเดียว ในอัตราที่ลดลงมา คือเหรียญทอง 10 ล้านบาท, เหรียญเงิน 6 ล้านบาท และเหรียญทองแดง 4 ล้านบาท โดยนักกีฬาที่ได้เหรียญรางวัล มีสิทธิ์เลือกรับเงินรางวัลอย่างใดอย่างหนึ่ง
มาเริ่มต้นด้วยนักชกเหรียญทองโอลิมปิกเหรียญแรกของประเทศไทย นั่นก็คือ สมรักษ์ คำสิงห์ นั่นเองงง สมรักษ์ คำสิงห์ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ได้เงินอัดฉีดจากสมาคมประมาณ 10 ล้านบาท และมีได้จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอีก 10 ล้านบาท และยังไม่รวมจากสปอนเซอร์ที่คาดว่ารวมๆแล้ว น่าจะได้ประมาณ 40-50 ล้านบาทเลยแหละ
มาต่อกันที่คนที่สอง วิจารณ์ พลฤทธิ์ นักมวยรุ่นฟลายเวท ที่ได้รับเงินจากสมาคมน่าจะประมาณ 10 ล้านบาท และมีได้จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอีก 10 ล้านบาทเช่นกัน รวมๆแล้วกว่า 20 ล้านบาท
และมาถึงคนที่สามที่หลายๆคนน่าจะได้ยินกันมาบ้างกับ มนัส บุญจำนงค์ ที่เจ้าตัวออกมาบอกว่าได้เงินอัดฉีด 12 ล้านบาท แล้วก็มีเงินเดือนให้กินตลอดจนอายุถึง 60 ปี
และคนที่สี่ คือ อุดมพร พลศักดิ์ ที่ได้เงินอัดฉีด 12 ล้านบาท ที่ยังไม่รวมเงินจากสปอนเซอร์จากเอกชนต่างๆ
คนที่ห้า ก็คือ ปวีณา ทองสุก ที่ได้เงินอัดฉีด 12 ล้านบาท ที่ยังไม่รวมเงินจากสปอนเซอร์จากเอกชนต่างๆ
คนที่หก เป็นอีกคนนึงที่แอดว่าพวกเธอหลายๆคนต้องรู้จักกันอย่างแน่นอน กับ สมจิตร จงจอหอ นักมวยรุ่นฟลายเวท ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงอัดฉีดว่าได้รวมๆแล้วกว่า 23,223,000 บาท แบ่งเป็นเงินสด 22,280,000 ล้านบาท และที่เหลือเป็นสิ่งของ
มาต่อกันที่คนที่ 7 กับ ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล ได้รับเงินอัดฉีดจากรัฐฯ 10 ล้านบาท รวมกับสปอนเซอร์อีก 2 ล้านบาท และรถกระบะโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ 1 คัน โดยรวมๆแล้วได้ประมาณ 16 ล้านบาท
และคนที่ 8 พ่วงมาด้วยคนที่ 9 กับ โสภิตา ธนสาร และ สุกัญญา ศรีสุราช ได้รับเงินอัดฉีดจากรัฐฯ 10 ล้านบาท ที่ยังไม่รวมเงินจากสปอนเซอร์จากเอกชนต่างๆ ที่คาดว่าได้รวมแล้วราวๆกว่า 25 ล้านบาท
และคนสุดท้ายที่เพิ่งได้เหรียญไปหมาดๆ กับสาวน้อยที่มีชื่อว่า เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ที่จะได้รับเงินอัดฉีด 12 ล้านบาท และจากสหพันธ์สมาคมกีฬาแห่งชาติร่วมกับชมรมกอล์ฟหลักสูตรสมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร 1 ล้านบาท ได้จาก ธอส. มอบเงินสด 3 ล้านบาท มหาลัยกรุงเทพธนบุรีอีก 1 ล้านบาท และน่าจะยังไม่รวมเงินจากสปอนเซอร์จากเอกชนต่างๆอีก
เป็นยังไงกันบ้างหล่ะชาวมองบนกับเงินรางวัลของนักกีฬาโอลิมปิก แต่กว่าพวกเขาจะมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่นิดเดียว พวกเขาต้องเสียสละ ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจตลอดหลายปี ที่สำคัญความยากลำบากในการซ้อม มันมีความหมายต่อนักกีฬาที่ก้าวไปสร้างความสำเร็จ และตามมาด้วยชื่อเสียงของประเทศ เพราะความสำเร็จของนักกีฬา มันมาจากต้นทุนแห่งความมุ่งมั่น มันไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วยแต่อย่างใดนะทู้กคนนนน
แอดขอเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาไทยที่เดินทางไปแข่งขันโอลิมปิกทุกๆคนด้วยนะ
Cr. https://bit.ly/3Bx986a
https://bit.ly/3rDdX9t
https://bit.ly/3kS8nij
https://bit.ly/3kVRALk
https://bit.ly/36XCZ9Q
https://bit.ly/3eX8dSO
https://bit.ly/3kY0urw
https://bit.ly/2TzCzmZ
https://bit.ly/3iKCW6S